Alumni

“การทำเค้กโฮมเมดคือศิลปะที่สื่อสารมาจากใจ”

Supaporn Boonchit

สุภาพร บุญชิต
เจ้าหญิงวงการเบเกอรีตำรับฝรั่งเศส แห่งร้าน “ใส่ใจคาเฟ่” เลานจ์หมี ม.กรุงเทพ

ดิฉันเรียนจบคณะบัญชี มหาวิทยาลัยกรุงเทพ รหัส 46 ค่ะ ตอนเด็กๆ อยากทำบัญชี อยากทำงานออฟฟิศ แต่พออยู่ปี 3 รู้จักพี่คนหนึ่ง เขาถามดิฉันว่า ให้ลองนึกถึงตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้าว่า การเป็นนักบัญชีคือชีวิตที่เราอยากได้ไหม ประกอบกับดิฉันชอบทำกิจกรรม เช่น ค่ายจิตอาสา เข้าคอร์สพัฒนาศักยภาพตัวเอง ทำให้มีเพื่อนเยอะทั้งที่นี่และที่อื่น นอกจากจะได้แลกเปลี่ยนความคิดกันแล้ว เพื่อนบางคนที่ฐานะดียังเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากสบายเหมือนเขา อีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้อยากทำธุรกิจส่วนตัวก็คือเรียนวิชามาร์เก็ตติ้ง ซึ่งอาจารย์ให้ทำสินค้าโอท็อป โดยให้เราออกไปศึกษากิจการจริงข้างนอก ไม่ใช่แค่นั่งในห้องสมุดแล้วมโนภาพเอาเอง ตอนนั้นจึงเริ่มอยากทำธุรกิจของตัวเอง เพราะคิดว่างานออฟฟิศคงได้เงินเดือนแค่หมื่นกว่าบาท

Supaporn Boonchit

ดิฉันเลยเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวตั้งแต่ปี 3 โดยทำเครื่องสำอางขายและเรียนแต่งหน้าไปด้วยเพราะอยากเป็นช่างแต่งหน้า ควบคู่ไปกับการสอนแต่งหน้า พอปี 4 ก็เริ่มศึกษาธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น เพราะแต่งหน้ามีงานเป็นช่วงหรือเทศกาลเท่านั้น เลยอยากมีธุรกิจที่ทำได้ในระยะยาว จึงเริ่มศึกษาการนำเข้าไม้ดิบจากนิวซีแลนด์และเนเธอแลนด์ พอเรียนจบก็หันมาทำธุรกิจเครือข่ายอีกอย่างจนประสบความสำเร็จ ทำให้มีเวลาว่างเยอะ แต่ส่วนตัวเป็นคนต้องหาอะไรทำเสมอ ตอนนั้นแต่งงานมีครอบครัว เป็นคุณแม่แล้ว ตอนเช้าไปส่งลูก บ่ายสองไปรับ กลางวันก็ว่าง พอดีแฟนเป็นชาวฝรั่งเศส เราเลยได้ไปซัมเมอร์ที่โน่น คุณแม่แฟนก็ทำขนมเค้กและบราวนีให้ทาน ซึ่งพอกลับมาเมืองไทยก็หาที่ฉ่ำๆ เยิ้มๆ แบบต้นตำรับทานไม่ได้ เลยต้องทำกินเอง พอส่งลูกเสร็จ ก็กลับมาทำขนมเองที่บ้าน จากที่ทำกินเอง ไว้แจกเพื่อน ไหว้ผู้ใหญ่ ก็มีโอกาสรู้จักคุณป้าท่านหนึ่งซึ่งเป็นญาติกับเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย ท่านเป็นเจ้าของปั๊มปตท. 15 แห่ง ท่านก็ชวนให้เราทำขนมส่งขายที่ร้านอเมซอนในปั๊มทั้ง 15 แห่ง โดยเริ่มจากทำเค้กช็อกโกเลตก่อน

Supaporn Boonchit

ตอนแรกๆ ก็ทำไม่เก่งนะคะ ลองผิดลองถูกอยู่เยอะเหมือนกัน เฉพาะเค้กช็อกโกเลตก็หมดเงินไปเป็นหมื่น ซื้อช็อกโกเลตมาทุกยี่ห้อทุกแบบมาลองทำ ขมไปบ้าง ไม่เข้มข้นบ้าง ไม่หอม ไม่นุ่ม ไม่ได้รสชาติอย่างที่แม่แฟนเคยทำให้ทาน ก็ทดลองทำเป็นเดือนสองเดือนกว่าจะได้สูตรที่ลงตัว ตอนนั้นท้อจนบางครั้งอยากเลิก จนครั้งสุดท้ายตั้งใจว่าถ้ายังทำไม่ได้จะเลิกทำละ ปรากฏว่าทำได้ในครั้งสุดท้ายนั่นเอง แต่โดยส่วนตัวเป็นคนไม่ยอมแพ้ ถ้าไม่บรรลุจะไม่ยอม ซึ่งนิสัยนี้ก็ฝึกมาจากการเรียนบัญชีนั่นแหละค่ะ เพราะเด็กทำบัญชีทุกคน ถ้าปิดงบไม่ลงตัว แค่สลึงเดียวก็ต้องหาให้เจอให้ได้

Supaporn Boonchit

อันที่จริงดิฉันก็เคยล้มเหลวเหมือนกัน ครั้งหนึ่งเคยซื้อแฟรนไชส์สเต๊กแบรนด์พรีเมียมมาจากฝรั่งเศสโดยมีหุ้นส่วน ดิฉันก็ดูแลเรื่องมาร์เก็ตติ้ง แต่ไม่ได้ดูบัญชีเอง เลยโดนหุ้นส่วนโกงไป 8 ล้าน เราเต็มที่กับหน้าที่ของเรา แต่ไว้ใจหุ้นส่วนมากเกินไป ตอนนั้นก็เสียใจเยอะนะคะ แต่เสียใจนานไม่ได้ เพราะมีลูกมีบ้านที่ต้องรับผิดชอบ เหตุการณ์ครั้งนั้นสอนให้เรียนรู้ว่าการทำธุรกิจแบบมีหุ้นส่วนควบคุมยาก เพราะเราคุมคนอื่นไม่ได้และมองโลกในแง่ดีเกินไป

ดิฉันอยู่เฉยๆ พักหนึ่ง ก็เริ่มทำเค้กให้เพื่อนๆ และคนรู้จัก เพราะคนต่างชาติเวลาจะเอาเค้กไปฝากใคร เขาจะทำเองมาจากที่บ้าน เพราะการทำเค้กโฮมเมดคือศิลปะที่สื่อสารจากใจ ต้องเป็นคนพิเศษถึงจะทำให้ ตอนนั้นคุณป้าเจ้าของปั๊มก็มาชวนทำพอดี ตอนแรกกะจะลองทำเล่นๆ แต่ปรากฏว่าขายดี คุณป้าเลยสนับสนุนให้ทำหลายๆ ตัว จนปัจจุบันทำทั้งเค้กช็อกโกเลต เค้กมะพร้าว เค้กส้ม บราวนี แซนด์วิช ช็อกบอล ส่งไปกว่า 50 สาขา รวมทั้งรับจัดเลี้ยงในงานต่างๆ ทำส่งโรงพยาบาล จนปัจจุบันมีโรงงานที่ได้รับเครื่องหมายอย. สาเหตุที่เราไม่หยุดทำก็เพราะคุณป้าท่านนั้นแชร์ให้เราฟังว่า แต่ก่อนท่านก็เคยขายแค่แก๊สหุงต้ม ไม่ได้มีปั๊ม แต่ที่มีอย่างทุกวันนี้ได้เพราะคิดว่าต้องทำจนกว่าจะหมดหนี้ แล้วถึงจะบอกว่าตัวเองรวย ถ้ายังกู้แบงก์อยู่ ก็แสดงว่ายังไม่รวย

Supaporn Boonchit

สำหรับร้าน ‘ใส่ใจคาเฟ่’ ที่เลานจ์หมี ม.กรุงเทพ นี้ ดิฉันเคยทำขนมส่งให้ร้านเดิมมาก่อน พอมีคนมาชวนทำร้าน จึงรู้สึกสนใจเพราะเรารู้ว่ามีน้องๆ เยอะ ขายง่าย อีกใจคืออยากช่วยมหา’ลัย เพราะมหา’ลัยก็ช่วยเรา เลยตั้งราคาน่ารัก ให้น้องๆ ซื้อทานได้ง่ายๆ ส่วนกาแฟอันที่จริงดิฉันทำกาแฟไม่เป็น แต่ชอบดื่ม โชคดีมีรุ่นน้องที่เป็นบาริสต้ามาสอนให้ทำ ก็ปรับสูตรปรับกาแฟไปเรื่อย จนมาลงตัวที่เมล็ดกาแฟของดอยช้าง กิโลละเกือบพันบาท แต่เราขาย 50-60 บาทเพื่อให้น้องๆ ซื้อได้ ไม่ได้นึกว่าจะต้องได้กำไรมากๆ ต่อมาก็เพิ่มกาแฟไซฟ่อนซึ่งเป็นกาแฟดริป (Drip Coffee) ของญี่ปุ่นสำหรับคนที่อยากดื่มกาแฟร้อนที่นุ่มขึ้น

Supaporn Boonchit

ดิฉันจะไม่คิดแทนคนอื่นว่าเขาจะยอมซื้อกาแฟนอกไหม คิดแค่ว่ามีเผื่อไว้ก่อนดีกว่า เหมือนเงินน่ะค่ะ เราไม่รู้จะหาเงินทำไมเยอะแยะ แต่หาไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวมีเวลาก็ได้ใช้เอง (หัวเราะ) ขนมของเราเป็นสูตรต้นตำรับเมืองนอกจริงๆ ใช้ช็อกโกเลตแท้ เนยสดแท้ ไม่ใส่สารเติมเต็ม และมีส่วนผสมของสดทุกอย่าง เช่น เค้กใบเตยก็ใช้ใบเตยคั้นสด เค้กส้มก็ใช้ส้มสด เพื่อให้เนื้อสัมผัสและความหอมตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังเน้นสุขภาพ ไม่หวาน ใช้วิปครีมที่ไม่มีไขมัน กินแล้วเบา ไม่อ้วน บางคนไม่อยากกินเค้กเพราะกลัวอ้วน จะได้รู้ว่ากินเค้กไม่ได้ทำให้อ้วนเสมอไป ซึ่งที่ผ่านมาฟีดแบ็คดีเกินเป้าที่ตั้งไว้มากค่ะ

ดิฉันเข้ามาที่มหา’ลัยอยู่เสมอ ได้เห็นการพัฒนามาตลอด แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร อาจารย์ของที่นี่ก็ยังมีสายสัมพันธ์กันเหมือนเดิม พอดิฉันมาเปิดร้าน อาจารย์หลายท่านก็มาช่วยดูร้าน มาช่วยโปรโมทร้านให้ ส่วนน้องๆ รุ่นใหม่เราตามไม่ค่อยทัน เราจึงต้องอินเทรนด์ ต้องเดินห้างบ่อยๆ จะได้รู้ว่าเด็กๆ กินอะไรกัน

เคล็ดลับที่ทำให้ประสบความสำเร็จคือ ดิฉันยินดีรับฟังคำติชมและพร้อมเปลี่ยนแปลงตามที่น้องๆ เสนอ ที่ทำออกมาได้อร่อยก็เพราะเราเปิดใจรับคำติชมนี่แหละค่ะ นอกจากนี้ยังจริงใจต่อลูกค้า รับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ ดังนั้นเราจึงมองคุณภาพก่อน แล้วกำไรค่อยมาทีหลัง มันจะยั่งยืนกว่า ถามว่าอยากรวยไหม ก็อยากรวย แต่เราไม่ได้ต้องการแค่เรื่องนั้นแค่เรื่องเดียว เพราะเราอยากหางานให้ลูกน้องทำ ได้เจอเด็กๆ ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาของมหา’ลัยมากกว่า

Supaporn Boonchit

ดิฉันอยากให้น้องๆ มีเป้าหมายกับสิ่งที่ฝัน เพราะถ้าเราไม่ตั้งเป้าหมายเลยนั่นเท่ากับ 0 แต่ถ้ามีเป้าหมาย ต่อให้ไปไม่ถึง เราก็ไม่ได้แค่ 0 แน่นอนค่ะ

 BACK